สร้างจากนวนิยายขายดีของ อกาธา คริสตี้ เกี่ยวกับเรื่องราวของการฆาตรกรรมที่ถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดีโดยฆาตรกรที่แอบแฝงด้วยแรงจูงใจในการแก้แค้น นักสืบปัวโรต์ ได้ถูกเชิญให้เดินทางไปบนทริปล่องเรือฮันนีมูนสุดหรูบนลำน้ำไนล์ ภายใต้บรรยากาศสุดอลังการและโรแมนติก เมื่อคู่รักเศรษฐีได้จัดงานแต่งงานท่ามกลางฆาตรกรและคู่อาฆาตโดยไม่รู้ตัวด้วยความหลงไหลและสิ่งที่เกินจะคาดเดาก็สร้าปมในคดีที่ไม่คาดคิดให้กับนักสืบปัวโรต์

รีวิว
ตัวพล็อตเรื่องเองก็ยังคงใช้กลวิธีแบบ ‘whodunnit’ (ใครเป็นคนทำ ? ) ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นแนวทางหลัก ๆ ที่ใช้ในนิยาย และยังคงรูปแบบเดียวกับ ‘Murder on the Orient Express’ เป๊ะ ๆ เพียงแค่เปลี่ยนจากรถไฟเป็นเรือสำราญเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดจริง ๆ หากเปรียบเทียบกับภาคก่อนหน้าก็คือเรื่องของจังหวะการดำเนินเรื่องครับ เพราะใน ‘Murder on the Orient Express’ ถูกเล่าเป็นเส้นเรื่องเดียว และเดินเข้าสู่เรื่องแบบกระชับฉับไว แต่กลับในเรื่องนี้กลับตรงกันข้าม เพราะตัวเรื่องจะค่อย ๆ เล่าอย่างแช่มช้ากว่ามาก กว่าจะมีคนตายก็ล่อเข้าไปครึ่งเรื่องแล้ว (555) ตัวหนังในองก์แรก และครึ่งแรกขององก์ที่สองจึงเป็นการให้เวลาปูเรื่อง ทั้งเรื่องของปัวโรต์เอง และที่มาการชิงรักหักสวาทของอดีตเพื่อนและอดีตแฟนที่ทั้งหวานชื่นและขื่นขมอย่างค่อยเป็นค่อยไป ก่อนจะค่อย ๆ สับเกียร์เร่งเครื่องในช่วงครึ่งหลัง หลังจากสิ้นเสียงปืนนัดแรกดังขึ้น

อีกจุดที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดก็คือ การคลี่คลายไขคดีครับ ทั้งสองภาคนี้ก็ยังคงวางปมให้คนดูได้ไขคดีตามสไตล์นิยายรหัสคดีแบบอกาธา คริสตีไปด้วย แต่สิ่งที่ถือว่าต่างออกไปในหนังภาคนี้ก็คือ การวางปมที่ดูจะง่ายและซับซ้อนน้อยกว่าภาคก่อน ๆ อยู่มากทีเดียว ทั้งในแง่ของบทที่ในภาคนี้ ดูจะซีเรียสน้อยกว่าภาคที่แล้วอยู่พอสมควร หรือแม้แต่สถานที่ ที่คราวที่แล้วเป็นรถไฟซึ่งมีความเป็นพื้นที่ปิดมากกว่า ก็เลยทำให้ดูมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนและดูลึกลับ เดาใจไม่ได้สักทางและวางใจไม่ได้สักคนเดียว แต่ในขณะที่ในภาคนี้ เส้นเรื่องรหัสคดีที่วางไว้ดูจะซับซ้อนน้อยกว่า รวมทั้งสถานที่บนเรือสำราญที่ประดับตกแต่งด้วยกระจกและพื้นที่เปิดโล่งเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยทำให้ดูมีความเป็นส่วนรวมมากกว่า
ตัวอย่าง